รวมมิตร 5 อันดับ ภัยคุกคามเว็บที่อันตรายที่สุดในปี 2025!
ปี 2025 กลายเป็นปีที่ทำให้คนในสาย Cybersecurity ต้องยอมรับความจริงข้อหนึ่งร่วมกันว่า แนวทาง Web Security แบบเดิมที่เคยใช้กันมาเริ่ม “เอาไม่อยู่” อีกต่อไป การมาของโค้ดที่สร้างด้วย AI, แคมเปญ JavaScript Injection ขนาดใหญ่นับแสนเว็บไซต์, การโจมตีซัพพลายเชนด้วยมัลแวร์ที่กลายร่างได้ และการละเมิดความเป็นส่วนตัวแบบเงียบ ๆ บนหน้าเว็บ ล้วนบังคับให้องค์กรต้องทบทวนวิธีคิดด้านความปลอดภัยทั้งชุดใหม่ บทความนี้สรุป 5 ภัยคุกคามเว็บสำคัญที่ถูกพูดถึงในรายงานต่างประเทศ และถอดให้เข้าใจง่ายในบริบทคนทำงานด้าน IT และ Security เพื่อใช้เป็นแนวทางตั้งการ์ดรับมือในปีถัดไปทั้งในมุมเทคนิค กระบวนการ และการกำกับดูแล
1. Vibe Coding – โค้ดจาก AI ที่ “ทำงานได้ แต่ไม่ปลอดภัย”
“Vibe Coding” หรือการเขียนโค้ดด้วยภาษาธรรมชาติให้ AI ช่วยสร้างโค้ด เริ่มจากเทรนด์ทดลองเล่นของ Developer แต่ในปี 2025 มันได้กลายเป็นเครื่องมือจริงจังที่สตาร์ทอัพและทีม Dev นำไปใช้สร้างระบบ Production อย่างเต็มรูปแบบ ปัญหาคือ AI มักจะ “สร้างในสิ่งที่เราขอ” แต่ไม่ได้สร้างในสิ่งที่ “เราลืมขอ” โดยเฉพาะเรื่อง Security Control ที่มักไม่ได้อยู่ในโจทย์ตั้งต้น ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจึงเป็นโค้ดที่ทำงานได้จริงแต่เต็มไปด้วยช่องโหว่ ทั้งการข้ามขั้นตอนตรวจสอบสิทธิ์ การไม่ทำ Input Validation หรือการเรียกใช้ API ที่เขียนมาอย่างหลวม ๆ จนเปิดโอกาสให้ผู้โจมตีใส่ Payload แปลกปลอมเข้ามาควบคุมระบบได้ ในกรณีของแพลตฟอร์ม Base44 ยังพบช่องโหว่ระดับ Authentication Bypass ที่ทำให้ผู้ไม่ประสงค์ดีกระโดดเข้าไปในแอปพลิเคชันภายในได้โดยไม่ต้องล็อกอินด้วยซ้ำ องค์กรจำนวนมากเริ่มปรับวิธีทำงานกับ AI จาก “ใช้เพื่อให้เสร็จไว” กลายเป็น “ใช้บนแนวคิด Security-first Prompting” ให้ AI ช่วยเขียนก็จริง แต่ต้องตามด้วยการรีวิวโค้ดหลายชั้น การทดสอบเชิงพฤติกรรม และการเฝ้าดู Pattern แปลก ๆ เช่นการเรียก API ที่ไม่อยู่ในดีไซน์เดิมหรือพฤติกรรม Serialization ที่ผิดปกติ แนวโน้มของกฎหมายอย่าง EU AI Act ก็ยิ่งตอกย้ำว่า โค้ดที่ทำงานได้อย่างเดียวไม่เพียงพอ หากไม่มีหลักฐานรองรับความปลอดภัยควบคู่กันไป
2. JavaScript Injection – เมื่อไลบรารีบนหน้าเว็บกลายเป็นช่องทางแฮ็กครั้งมโหฬาร
เกือบทุกเว็บไซต์ในโลกสมัยใหม่ล้วนพึ่งพา JavaScript ฝั่ง Client ไม่ว่าจะเพื่อสร้าง UX ที่ลื่นไหล ติดตั้ง Analytics, Chat Widget, Tag Manager หรือระบบโฆษณา แต่ความสะดวกนี้เองที่ทำให้หน้าบ้านของเว็บกลายเป็น “สนามรบ” ของผู้โจมตีไปโดยปริยาย แคมเปญ JavaScript Injection ในปี 2025 ที่พุ่งเป้าไปยังเว็บกว่า 150,000 แห่งทั่วโลกเพื่อโปรโมตเว็บพนันปลอมจากจีน คือสัญญาณเตือนที่ชัดเจนที่สุด ผู้โจมตีไม่ได้แค่ฝังสคริปต์ลงไปอย่างหยาบ ๆ แต่ใช้เทคนิคซับซ้อน ตั้งแต่การใส่ iframe เนียน ๆ ทับหน้าเว็บจริงด้วย Overlay แบบเต็มหน้าจอ ไปจนถึงการเล่นกับ DOM, Prototype Pollution และการผสมผสานเทคนิค XSS หลายรูปแบบ ทำให้แม้แต่เฟรมเวิร์กระดับ React ที่ขึ้นชื่อเรื่องการป้องกัน XSS ยังถูกเลี่ยงผ่านได้ง่าย ๆ เมื่อเผชิญกับ Payload ที่ออกแบบมาเฉพาะ บทเรียนสำคัญคือองค์กรไม่สามารถเชื่อใจเพียงแค่ “แหล่งที่มาของสคริปต์” ได้อีกต่อไป แม้จะโหลดมาจากโดเมนที่เคยผ่านการอนุญาตไว้ใน CSP ถ้าถูกแฮ็ก โค้ดชุดนั้นก็พร้อมจะกลายเป็นมัลแวร์ทันที แนวทางใหม่จึงต้องเน้นที่ “พฤติกรรม” เป็นหลัก ทั้งการเข้ารหัสข้อมูลตามบริบทให้ถูกต้อง การตรวจจับเมื่อสคริปต์เดิมที่ควรจะ Static อยู่ดี ๆ กลับเริ่มยิง POST Request ออกนอกระบบ หรือพยายามดึงข้อมูลสำคัญจากฟอร์มที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมการเงิน
3. Magecart / E-skimming 2.0 – ขโมยข้อมูลบัตรเครดิตแบบเนียน ๆ บนหน้า Payment
กลุ่มการโจมตีสาย e-skimming อย่าง Magecart ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ในปี 2025 เทคนิคของกลุ่มนี้ได้ยกระดับไปอีกขั้น จากเดิมที่เน้นแฝงตัวในสคริปต์ธรรมดา กลายเป็นการใช้เทคนิค DOM Shadow, WebSocket, Geofencing และการทำงานแบบซ่อนตัวเมื่อพบว่ามี DevTools เปิดอยู่ ทำให้การตรวจจับด้วยวิธีเดิมแทบใช้การไม่ได้ การโจมตีลักษณะนี้มีความน่ากลัวตรงที่ผู้ใช้แทบไม่มีทางรู้ตัว ทุกอย่างบนหน้า Payment ดูเหมือนปกติ แต่เบื้องหลังมีสคริปต์ที่รอเก็บข้อมูลบัตรเครดิตและข้อมูลส่วนตัวแบบเรียลไทม์ เคสที่ใช้ไลบรารี Modernizr เป็นตัวเปิดการทำงานเฉพาะบนหน้า Payment เท่านั้นยิ่งตอกย้ำว่า Attack Surface ของเว็บสมัยใหม่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ Endpoint หรือ Backend อีกต่อไป แต่ “ทุกบรรทัดของสคริปต์ฝั่งหน้าเว็บ” ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของ Supply Chain ไปแล้ว มาตรฐาน PCI DSS เวอร์ชันล่าสุดจึงเพิ่มข้อกำหนดให้มีการเฝ้าระวังสคริปต์ทุกตัวที่แตะต้องข้อมูลการชำระเงินอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ตรวจสอบครั้งเดียวตอน Go-live แล้วจบ โดยแนวคิดหลักคือ “เชื่อโค้ดจากพฤติกรรมจริง ไม่ใช่จากชื่อโดเมนที่มันมาจาก” เพราะเมื่อโดเมนที่เคยปลอดภัยถูกแฮ็ก ความน่าเชื่อถือที่เคยมีอยู่ก็หมดความหมายทันที
4. AI Supply Chain Attacks – มัลแวร์ยุคใหม่ที่เขียนตัวเองใหม่ได้ทุกครั้ง
โลกของโอเพ่นซอร์สและแพ็กเกจจาก Registry ต่าง ๆ เคยเป็นแหล่งช่วยเร่งการพัฒนาให้เร็วขึ้น แต่ในปี 2025 มันกลายเป็นจุดศูนย์กลางของการโจมตีรูปแบบใหม่ที่ใช้ AI เป็นตัวช่วยหลัก แพ็กเกจปลอมใน npm, PyPI หรือ Registry อื่น ๆ ถูกออกแบบมาอย่างแนบเนียน มีทั้งเอกสาร คู่มือ และ Unit Test ครบถ้วน เพื่อหลอกให้ทีม Dev ติดตั้งเข้าไปใน CI/CD Pipeline โดยไม่สงสัย ความน่ากลัวของ AI Supply Chain Attack อยู่ที่ “ความกลมกลืน” และ “การกลายพันธุ์” มัลแวร์จำนวนมากถูกเขียนให้เปลี่ยนโค้ดตัวเองทุกครั้งที่รันหรือทุกครั้งที่ถูกดาวน์โหลดใหม่ ทำให้การจับด้วย Signature แบบคงที่แทบใช้ไม่ได้ ตัวอย่างอย่างแคมเปญ Shai-Hulud Worm ที่โจมตีแพ็กเกจกว่า 500 ตัว และรีโพมากกว่า 25,000 แห่งภายในเวลาไม่กี่วัน คือภาพสะท้อนว่าซัพพลายเชนของซอฟต์แวร์ไม่ได้ปลอดภัยด้วย “ชื่อแพลตฟอร์ม” อีกต่อไป การรับมือจึงต้องขยับจากการสแกนหามัลแวร์แบบเดี่ยว ๆ ไปสู่การดูสายเลือดของโค้ด (Behavioral & Provenance Analysis) ว่ามาจากไหน ถูกแก้ไขอย่างไร มีความสัมพันธ์กับแพ็กเกจหรือผู้พัฒนาคนใด และใช้หลัก Zero Trust กับทุกสิ่งที่ดึงเข้ามาใน Pipeline แม้จะเป็นแพ็กเกจยอดนิยมก็ตาม
5. Web Privacy Validation – ความเสี่ยงด้านกฎหมายจาก Cookie และ Tracking ที่ควบคุมไม่ได้
ในอดีต เรื่อง Privacy บนหน้าเว็บมักถูกมองเป็นงานของทีมกฎหมายหรือทีมการตลาดที่ต้องทำ Cookie Banner ให้ครบข้อกำหนด แต่การศึกษาล่าสุดพบว่าเว็บไซต์ชั้นนำในสหรัฐฯ ราว 70% ยังคงปล่อยให้มีการวาง Advertising Cookie แม้ผู้ใช้กดปฏิเสธไปแล้ว ซึ่งหมายความว่าองค์กรจำนวนมากกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงเชิงกฎหมายและชื่อเสียงโดยไม่รู้ตัว ปัญหามักไม่ได้เกิดจากความตั้งใจละเมิดของทีมงาน แต่เกิดจาก “Privacy Drift” เมื่อมีการอัปเดต Tag, เพิ่ม Tracking ใหม่ หรือเปลี่ยน Script ของ Third-party แล้วไม่ย้อนกลับมาตรวจสอบว่าพฤติกรรมใน Production ยังตรงกับนโยบายที่ประกาศไว้หรือไม่ กรณีขององค์กรการเงินหลายแห่งที่ถูกตีความว่าการติดตั้ง Pixel บางตัวบนหน้าเว็บเป็นการส่งข้อมูลออกนอกระบบอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมาย ยิ่งทำให้หัวข้อ Web Privacy ถูกดึงเข้ามาอยู่ในโต๊ะของ CISO มากขึ้น แนวทางใหม่ที่เริ่มถูกใช้คือการทำ “Continuous Web Privacy Validation” หรือการตรวจสอบว่าข้อมูลจริงที่ถูกส่งออกจากหน้าเว็บไปยัง Third-party แต่ละราย สอดคล้องกับ Consent และ Privacy Policy หรือไม่ ไม่ใช่ดูแค่จากเอกสารหรือการทดสอบบน Staging เท่านั้น แต่ต้องอิงจากพฤติกรรมจริงบน Production ที่ผู้ใช้กำลังใช้งานอยู่
แนวทางวางกลยุทธ์รับมือภัยคุกคามเว็บปี 2026
หากมองให้ลึกลงไป ทั้ง 5 ภัยคุกคามนี้มีจุดร่วมอยู่ข้อหนึ่ง คือ “การป้องกันแบบ Reactive อย่างเดียวไม่พออีกแล้ว” เพราะเมื่อเราตรวจพบด้วยวิธีเดิม ๆ ก็มักจะเป็นจังหวะที่ความเสียหายเกิดขึ้นไปแล้วระดับหนึ่งเสมอ องค์กรที่เริ่มปรับตัวทันจึงหันมาใช้หลัก Assume Breach เป็นค่าเริ่มต้น และเน้นการลดเวลาตั้งแต่ถูกโจมตีจริงจนถึงจุดที่ตรวจพบและควบคุมสถานการณ์ได้ แนวทางที่น่าจับตามองคือการผสาน AI เข้ามาเป็น “ดาบและโล่” ไปพร้อมกัน ใช้ AI ช่วยเร่งการตรวจจับและสืบสวน ลด Noise ของ Alert และช่วยวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของเหตุการณ์จากหลายระบบ ในขณะเดียวกันก็ต้องมีกระบวนการที่เข้มแข็งในการตรวจสอบโค้ดหรือคอนฟิกใด ๆ ที่ได้มาจาก AI ไม่ว่าจะเป็นโค้ดบนแอป ระบบอัตโนมัติ หรือสคริปต์เล็ก ๆ บนหน้าเว็บ เมื่อเข้าใจภาพรวมแล้ว ขั้นตอนสำคัญคือการกลับไปไล่ Inventory ว่าระบบขององค์กรมี Third-party อะไรบ้าง ใช้ Script, Library, API ใดที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ชัดเจน ตั้งระบบให้สามารถมองเห็นพฤติกรรมของโค้ดทุกชิ้น ตั้งแต่ระดับ Endpoint, Browser, ไปจนถึง CI/CD Pipeline และแปลงข้อมูลเหล่านั้นให้กลายเป็น Workflow การตรวจสอบอย่างต่อเนื่องมากกว่าการ Audit ปีละครั้งสองครั้งเหมือนในอดีต
Reference
The Hacker News. (2025, December 4). 5 threats that reshaped web security this year [2025]. The Hacker News. https://thehackernews.com/2025/12/5-threats-that-reshaped-web-security.html
หากสนใจสินค้า หรือต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติม
💬 Line: @monsteronline
☎️ Tel: 02-026-6664
📩 Email: [email protected]
🌐 ดูสินค้าเพิ่มเติม: mon.co.th