Wi-Fi 6 คืออะไร ?
Wi-Fi 6 คืออะไร
คำว่า “Wi-Fi” ถูกสร้างขึ้นโดย Wi-Fi Alliance ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรและหมายถึงกลุ่มของโปรโตคอลเครือข่ายไร้สายที่ใช้มาตรฐานเครือข่าย IEEE 802.11 Wi-Fi มีมาตั้งแต่ปลายยุค 90 แต่มีการปรับปรุงอย่างมากในทศวรรษที่ผ่านมา
แผนภูมิโปรโตคอลเครือข่าย
เพื่อสร้างความแตกต่างระหว่างแต่ละรุ่นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อเร็วๆ นี้ Wi-Fi Alliance ได้ใช้หลักการตั้งชื่อแบบดั้งเดิมมากขึ้นโดยกำหนด 802.XX ไว้เพื่อให้ใส่ต่อท้ายด้วยตัวเลขแบบง่าย หลักการติดฉลากที่ง่ายขึ้นนี้ (Wi-Fi 6 เทียบกับ 802.11ax) ทำให้เรารับรู้ได้ง่ายขึ้นว่ากำลังใช้เทคโนโลยีรุ่นใด และสามารถระบุได้ว่าอุปกรณ์นั้นรองรับเวอร์ชันเทคโนโลยีซึ่งสามารถใช้งานร่วมกันได้หรือไม่
Wi -Fi 6 มีความแตกต่างอย่างไร
Wi-Fi 6 เป็นการอัปเกรดที่เหนือกว่ารุ่นก่อนๆ ถึงแม้ว่าความแตกต่างอาจไม่ชัดเจนโดยทันทีสำหรับผู้ใช้ทั่วไป การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจไม่ได้เปลี่ยนวิธีที่เราใช้เราเตอร์ไร้สาย หรือเครือข่ายแบบไร้สาย แต่ประกอบด้วยการพัฒนาที่ซ้อนกันมากมายเพื่อเป็นการอัปเกรดที่เพิ่มพูนประสิทธิภาพ
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ครั้งแรกคือ Wi-Fi 6 ช่วยให้สามารถตอบสนองความเร็วในการเชื่อมต่อให้เร็วขึ้นได้
ความเร็วมากขึ้น
Wi-Fi ที่เร็วขึ้นหมายถึงความเร็วในการอัปโหลดและดาวน์โหลด (หรือทรูพุต) ที่ดีขึ้น เนื่องจากแบนด์วิดธ์ที่เพิ่มขึ้นที่ Wi-Fi 6 จ่ายให้ สิ่งนี้กำลังทวีความสำคัญมากขึ้นเนื่องจากขนาดไฟล์ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องพร้อมกับความต้องการข้อมูลที่สูงขึ้นในการสตรีมวิดีโอคุณภาพสูงและการเล่นเกมออนไลน์ที่ต้องใช้การสื่อสารอย่างหนัก การเล่นเกมแบบผู้เล่นหลายคนพร้อมกันขณะมีการสตรีมไปยัง Twitch* นั้นต้องใช้แบนด์วิดธ์ขนาดใหญ่และการเชื่อมต่อที่เชื่อถือได้และเสถียร
แล้ว Wi-Fi 6 เร็วขึ้นขนาดไหน
- 9.6 Gbps คือระดับความเร็วสูงสุดของ Wi-Fi 6 ในช่องสัญญาณต่างๆ ในทางตรงกันข้าม Wi-Fi 5 นั้นมีระดับความเร็วสูงสุดที่ 3.5 Gbps อย่างไรก็ตามนี่คือค่าสูงสุดทางทฤษฎี ในสถานการณ์จริง เครือข่ายในท้องถิ่นอาจไม่สามารถเข้าถึงความเร็วสูงสุดนี้ได้ กล่าวได้ว่า เนื่องจากความเร็วสูงสุดนั้นมีการแชร์ไปในอุปกรณ์หลายเครื่อง อุปกรณ์ที่มี Wi-Fi 6 จะสามารถเพลิดเพลินกับความเร็วที่เร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าจะไม่สามารถเข้าถึงศักยภาพสูงสุดก็ตาม
- ความเร็วอาจเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ Wi-Fi 5 หากสมมุติว่าคุณกําลังใช้เราเตอร์ Wi-Fi ด้วยอุปกรณ์เดี่ยว Wi-Fi 6 อาจทำให้ความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลสูงขึ้นด้วยเทคนิคที่หลากหลาย เริ่มต้นด้วยการเข้ารหัสข้อมูลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและการใช้คลื่นความถี่ไร้สายอย่างชาญฉลาดที่เกิดขึ้นได้จากการใช้โปรเซสเซอร์ที่ทรงพลังมากขึ้น
- Wi-Fi 6 มีความหน่วงที่ต่ำลงได้ถึง 75% โดยสามารจัดการการรับส่งข้อมูลเครือข่ายจำนวนมากอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับนักเล่นเกมแล้ว นั่นหมายถึงการดาวน์โหลดเกมที่เร็วขึ้น ความเร็วในการอัปโหลดที่ดีขึ้นในการสตรีมการเล่นเกม และการมัลติทาสกิ้งสื่อที่เชื่อถือได้มากขึ้น
- Wi-Fi 6 ทำให้สัญญาณแบบมีสายและไร้สาย เกือบจะเท่าเทียมกัน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้มีอิสระมากขึ้นจากข้อจำกัดที่ต้องเดินสายไปยังโมเด็มของตนเอง นักเล่นเกมหรือผู้สร้างเนื้อหาจำนวนมากยังคงเชื่อมต่อโดยตรงกับเราเตอร์หรือสวิตช์เครือข่ายผ่านสายอีเธอร์เน็ตแทนที่จะใช้ประโยชน์จากความยืดหยุ่นที่ระบบเครือข่ายไร้สายมีให้ Wi-Fi 6 ช่วยลดช่องว่างระหว่างการเชื่อมต่อแบบมีสายและไร้สาย
อะไรที่ทำให้ Wi-Fi 6 เร็วขึ้น
ในปัจจุบันบ้านเกือบทุกหลังมีอุปกรณ์ที่เปิดใช้งาน Wi-Fi ซึ่งมากขึ้นกว่าเมื่อห้าปีก่อนมาก จากสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ไปจนถึงโทรทัศน์ และอุปกรณ์ IoT เช่น เครื่องทำความร้อนและกริ่งหน้าประตู ทุกอย่างล้วนสามารถเชื่อมต่อกับเราเตอร์ไร้สายได้แล้วทุกวันนี้ Wi-Fi 6 สื่อสารได้ดีขึ้นกับอุปกรณ์หลายตัวที่ต้องการข้อมูลพร้อมกันและจัดลำดับความสำคัญการรับส่งข้อมูลให้กับอุปกรณ์เหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
หนึ่งในหลายๆ วิธีที่จะทำเช่นนี้ได้ก็โดยการใช้เทคโนโลยี Orthogonal Frequency Division Multiple Access (OFDMA) OFDMA ทำงานโดยการแบ่งช่องสัญญาณเป็นคลื่นพาห์ย่อยและอนุญาตให้รับส่งไปยังอุปกรณ์ปลายทางหลายจุดในเวลาเดียวกัน เราเตอร์ Wi-Fi 6 สามารถส่งสัญญาณต่างๆ ในหน้าต่างรับส่งสัญญาณเดียวกันได้ ส่งผลให้เราเตอร์สามารถที่จะสื่อสารกับอุปกรณ์หลายชนิดได้ด้วยการส่งสัญญาณเพียงครั้งเดียวแทนที่จะต้องรอให้ถึงรอบของแต่ละอุปกรณ์เนื่องจากเราเตอร์รับส่งข้อมูลให้ทั่วทั้งเครือข่าย
การทับซ้อนชุดบริการพื้นฐาน (OBSS)
คืออีกหนึ่งคุณสมบัติของ Wi-Fi 6 ที่สามารถช่วยปรับปรุงความแออัดของเครือข่ายได้ ใน Wi-Fi เวอร์ชันที่เก่ากว่า อุปกรณ์ที่พยายามจะเชื่อมต่อกับเครือข่ายจะใช้กระบวนการ “ฟังก่อนพูดคุย” ซึ่งหมายความว่าอุปกรณ์เหล่านั้นต้อง “ฟัง” สัญญาณรบกวนทุกอย่างในช่องสัญญาณก่อนที่จะส่งสัญญาณ
หากมีสัญญาณรบกวนใดๆ ในช่องสัญญาณแม้ว่าจะเกิดจากเครือข่ายที่อยู่ไกล อุปกรณ์เหล่านั้นจะต้องรอจนกว่าช่องสัญญาณจะมีความชัดเจนก่อนส่งสัญญาณเพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนสัญญาณที่อาจเกิดขึ้น OBSS ช่วยให้จุดเชื่อมต่อใช้ “สี” เพื่อระบุเครือข่ายโดยไม่ซ้ำกัน หากตรวจพบการรับส่งข้อมูลอื่นๆ ในช่องสัญญาณ แต่ไม่ได้เป็นสีเดียวกันกับเครือข่ายของตนเอง อุปกรณ์ต่างๆ สามารถจะละเว้นและส่งสัญญาณต่อไปได้ ซึ่งจะสามารถช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและปรับปรุงความหน่วงแฝงได้
การทำงานร่วมกันของ OFDMA และ OBSS จะช่วยให้การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นบนเครือข่ายที่แออัด เนื่องจากอุปกรณ์ของเราใช้ Wi-Fi มากขึ้น สิ่งนี้จะช่วยรักษาความเร็วและความเสถียรของการเชื่อมต่อของเรา
Beamforming เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ Wi-Fi 6 ปรับปรุงเพื่อให้ได้ความเร็วที่สูงขึ้น วิธีการส่งข้อมูลที่สุดล้ำสมัยนี้จริง ๆ แล้วทำได้ค่อนข้างง่าย แทนที่จะกระจายข้อมูลไปในทุกทิศทาง เราเตอร์จะตรวจจับตำแหน่งที่อุปกรณ์ที่ร้องขอข้อมูลอยู่และส่งกระแสข้อมูลที่ถูกแปลงไปมากขึ้นในทิศทางนั้น
Beamforming ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับ Wi-Fi 6 แต่มีการปรับปรุงประสิทธิภาพขึ้นในรุ่นนี้
ข้อดีของเครือข่ายที่นอกเหนือจากความเร็ว
ความเร็วอาจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้ใช้ทั่วไป โดยเฉพาะสำหรับนักเล่นเกม แต่ยังอย่างอื่นอีกมากที่เกี่ยวกับเครือข่ายไร้สาย Wi-Fi 6 ยังรับประกันการปรับปรุงความปลอดภัย
WPA3
Wi-Fi Protected Access (WPA) เป็นโปรโตคอลความปลอดภัย Wi-Fi ทั่วไปที่ใช้รหัสผ่านสำหรับการเข้ารหัส เมื่อใดก็ตามที่จำเป็นต้องใช้รหัสผ่านในการลงชื่อเข้าใช้เครือข่าย Wi-Fi นั่นคือ WPA ในการใช้งานจริง WPA2 เป็นมาตรฐานที่ใช้มาเป็นเวลานาน แต่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงด้วย Wi-Fi 6
หนึ่งในการปรับปรุงครั้งใหญ่ที่สุดคือการใช้งานการรักษาความปลอดภัยด้วยรหัสผ่านที่เพิ่มขึ้นผ่านระบบ Dragonfly Key Exchange หรือที่เรียกว่า SAE หรือ Simultaneous Authentication of Equals วิธีการรับรองความถูกต้องนี้จะช่วยให้รหัสผ่านยากต่อการถอดรหัสโดยใช้วิธีการที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นในการสร้างแพคเก็ตแฮนด์เชคกับเครือข่าย Wi-Fi ชั้นความปลอดภัยที่เพิ่มเข้ามานี้ประกอบกับการเข้ารหัสที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นหมายความว่า Wi-Fi จะมีตัวเลือกความปลอดภัยที่แข็งแกร่งกว่าที่เคย
การรักษาความปลอดภัยชั้นพิเศษนี้เป็นตัวอย่างที่ดีที่แสดงให้เห็นว่า Wi-Fi 6 เปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้นได้อย่างไรโดยไม่ส่งผลกระทบในทางลบต่อประสบการณ์ของผู้ใช้
อายุการใช้งานแบตเตอรี่และ TWT
การพัฒนาที่ไม่หยุดยั้งซึ่งรวมอยู่ใน Wi-Fi 6 อีกอย่างหนึ่งได้แก่ Target Wake Time (TWT) ที่มีความสามารถในการเพิ่มอายุการใช้งานแบตเตอรี่ในอุปกรณ์บางอย่าง
เทคโนโลยีนี้ช่วยให้การสื่อสารระหว่างเราเตอร์และอุปกรณ์ของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้นเกี่ยวกับเวลาที่จะเข้าโหมดสลีปหรือเรียกกลับสู่การทำงาน ด้วยการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพกับคลื่นวิทยุ Wi-Fi ของอุปกรณ์และเปิดใช้งานอุปกรณ์เมื่อจำเป็นต้องเรียกกลับสู่การทำงานเท่านั้น ทำให้อุปกรณ์ของคุณจะใช้เวลาและพลังงานน้อยลงในการค้นหาสัญญาณไร้สาย
สิ่งนี้สามารถเพิ่มอายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้
Wi-Fi 6E คืออะไร
นอกจากเทคโนโลยี Wi-Fi 6 แล้ว ยังมีเทคโนโลยี Wi-Fi ใหม่อีกตัวที่พี่งเปิดตัว: Wi-Fi 6E
อุปกรณ์ Wi-Fi ถูกจำกัดไว้ก่อนหน้านี้โดยใช้ความถี่ที่ 2.4GHz และ 5GHz เท่านั้น แต่ยังมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อไม่นานนี้ อุปกรณ์ที่เปิดใช้งาน Wi-Fi 6E สามารถใช้ย่านความถี่ 6GHz ซึ่งให้แบนด์วิดท์ 1,200MHz จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการส่งข้อมูลจำนวนมากในระยะทางสั้นๆ ซึ่งจะช่วยบรรเทาความแออัดและสัญญาณรบกวนสำหรับอุปกรณ์ที่รองรับ ให้ลองคิดว่า Wi-Fi 6E เป็นถนนเลนใหม่ที่กว้างขึ้นซึ่งถูกเพิ่มเข้ามาในทางด่วน Wi-Fi สองเลนก่อนหน้านี้ ที่มาพร้อมด้วยข้อดีทั้งหมดของ Wi-Fi 6
ไม่ใช่ว่าอุปกรณ์ทุกอุปกรณ์ที่รองรับ Wi-Fi 6 จะรองรับระบบ Wi-Fi 6E ด้วย ดังนั้นโปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าฮาร์ดแวร์ที่คุณกำลังพิจารณามีการรองรับ Wi-Fi 6E หรือไม่เมื่อทำการอัปเกรด
ต้องมีอะไรบ้างในการทำให้ Wi-Fi 6 ใช้งานได้
สิ่งที่คุณควรพิจารณาเมื่อเปลี่ยนไปเป็น Wi-Fi 6 มีดังนี้
- เราเตอร์ของคุณรองรับ Wi-Fi 6 หรือไม่ การอัปเกรดที่สำคัญที่สุดที่คุณต้องใช้เพื่อใช้ประโยชน์จากโปรโตคอลใหม่นี้คือ เราเตอร์ที่รองรับ Wi-Fi 6 ผู้ผลิตส่วนใหญ่นำเสนอเราเตอร์ที่รองรับ Wi-Fi 6 อยู่แล้ว ดังนั้นจึงมีตัวเลือกมากมายให้เลือกซื้อ
- อุปกรณ์ของคุณรองรับระบบ Wi-Fi 6 หรือไม่ นอกจากนี้คุณยังต้องใช้อุปกรณ์ที่มีความสามารถในการใช้ Wi-Fi 6 แม้ว่า Wi-Fi 6 จะเข้ากันได้กับ 802.11ac รุ่นเก่า (Wi-Fi 5) แต่คุณต้องมีอุปกรณ์ที่รองรับ Wi-Fi 6 เพื่อใช้ประโยชน์จากทุกสิ่งที่เราได้แสดงไว้ที่นี่ เมื่อ Wi-Fi 6 กลายเป็นสิ่งที่เป็นมาตรฐานมากขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า อุปกรณ์รุ่นใหม่จะเริ่มรวมเทคโนโลยีเข้าไว้ด้วยกันและจะกลายเป็นอุปกรณ์ในมาตรฐานใหม่
- PC ของคุณรองรับ Wi-Fi 6 หรือไม่ หากคุณมี Intel CPU เจนเนอเรชันใหม่ล่าสุด และเมนบอร์ดที่ใช้งานร่วมกันได้ จะมีหลายฟังก์ชันที่จำเป็นสำหรับ Wi-Fi 6 รวมอยู่ด้วยแล้ว ทำให้การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่นี้ง่ายกว่าที่เคย แม้ว่าเสาอากาศ M.2 ภายนอกยังคงเป็นสิ่งจำเป็นหากเมนบอร์ดของคุณไม่มีมาให้ การใช้งานIntel® Integrated Connectivity (CNVi) หมายถึงเทคโนโลยีส่วนใหญ่ที่ขับเคลื่อน Wi-Fi 6 มีอยู่แล้วในระบบของคุณ
หากคุณกำลังมองหาโซลูชัน Gig+ Wi-Fi 6 ที่เน้นการเล่นเกม ลองดูที่การ์ด Killer® Wi-Fi 6 AX1650 Wi-Fi 6 ที่มีการออกแบบร่วมกับ Intel อุปกรณ์เหล่านี้ใช้ช่องสัญญาณ 160MHz ที่อนุญาตให้ใช้ความเร็วไร้สายระดับ Gigabit ได้สูงสุด 1700 Mbps หรือเร็วกว่ามาตรฐานของ Wi-Fi 5 สามเท่าภายใต้สถานการณ์ที่เหมาะสมที่สุด
โปรดจำไว้ว่าอุปกรณ์และส่วนประกอบทั้งหมดที่เข้ากันได้กับ Wi-Fi 6 หรือ Wi-Fi 6E จะมีฉลากนั้นๆ ระบุไว้ ดังนั้นอย่าลืมมองหาฉลากนั้นๆ เมื่อคิดจะอัปเกรด
ถึงเวลาที่จะอัปเกรด Wi-Fi ของคุณแล้วหรือยัง
Wi-Fi 6 และ Wi-Fi 6E จะมีผลกระทบอย่างมากกับวิธีการที่เราโต้ตอบกับอุปกรณ์ไร้สายของเรา Wi-Fi 6 เป็นก้าวสำคัญในเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สายที่อยู่กลางระหว่างความเร็วที่เร็วขึ้น การจัดลำดับความสำคัญของการรับส่งข้อมูลที่ดีขึ้น และความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น
ไม่ว่าคุณจะเล่นเกม ทำงาน หรือเพียงแค่สตรีมวิดีโอ การอัปเกรดเป็น Wi-Fi 6 เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาอย่างยิ่ง
ข้อมูลจาก : thailand.intel.com